สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำตาลโลกประจำสัปดาห์ระหว่างวันที่ 16-20 พฤษภาคม 2565

ตลาดน้ำตาลทรายดิบนิวยอร์คประจำสัปดาห์นี้ (16-20 พฤษภาคม 2565) ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ 19 ของปี 2565 ราคาน้ำตาลทรายดิบในสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวผันผวนตลอดทั้งสัปดาห์ และปิดตลาดครั้งสุดท้ายด้วยราคาที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน ในช่วงต้นสัปดาห์ราคาน้ำตาลปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องมาจากปลายสัปดาห์ที่แล้วจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ และต่อมาในช่วงกลางสัปดาห์จากการลดลงของราคาน้ำมันดิบ รวมถึงผลผลิตน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นในอินเดีย ส่งผลให้ราคาน้ำตาลปรับตัวลดลง ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ จากการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินเรียลบราซิล ขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ครึ่ง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกีดกันการส่งออกจากผู้ผลิตน้ำตาลในบราซิล

ราคาน้ำตาลตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเดือนกรกฎาคม 2565 เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 19.28-20.24 เซนต์/ปอนด์ และปิดตลาดครั้งสุดท้ายที่ 19.95 เซนต์/ปอนด์ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 0.78 เซนต์/ปอนด์ หรือ 4.07% และราคาน้ำตาลตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเดือนตุลาคม 2565 เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 19.37-20.29 เซนต์/ปอนด์ และปิดตลาดครั้งสุดท้ายที่ 20.07 เซนต์/ปอนด์ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 0.81 เซนต์/ปอนด์ หรือ 4.21%

ข่าวที่สำคัญ
วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ราคาซื้อขายล่วงหน้าของน้ำตาลตลาดนิวยอร์คปรับตัวขึ้นเป็นผลมาจากบราซิลคาดว่าจะผลิตเอทานอลมากขึ้นตามรายงานของ S&P Global Commodity Insights โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าค่าพรีเมียมยังคงทรงตัวแม้จะมีการเพิ่มขึ้นของราคาในอนาคต ในขณะเดียวกัน Itau BBA คาดว่าตลาดน้ำตาลจะยังคงมีการเกินดุลทั่วโลกในปีนี้ แต่สิ่งที่ยอมรับอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสัดส่วนในการผลิตน้ำตาลของบราซิล นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังหันไปห้ามส่งออกอาหารและผลผลิตทางการเกษตร ท่ามกลางราคาที่สูงขึ้นตามการวิเคราะห์ของ Reuters

นอกจากนี้ ราคาน้ำตาลที่สูงขึ้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เด็กขาดสารอาหารเพิ่มขึ้น โดยองค์การยูนิเซฟเตือนว่า ต้นทุนอาหารพร้อมรับประทานเพื่อการรักษาสำหรับเด็กที่ขาดสารอาหารจะเพิ่มขึ้น 16% เนื่องจากราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น

อเมริกาใต้
วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ค่าผลตอบแทนน้ำตาลต่อตันอ้อยของภาคกลาง-ใต้บราซิลในเดือนเมษายน 2565 ลดลง 4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่ผลผลิตต่อเฮกแตร์ลดลง 1.3% ตามข้อมูลของ Sugarcane Technology Center แต่ในตอนนี้ฝนในพื้นที่นั้นตกลงมามากกว่าปีที่แล้ว ทำให้ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าภาพรวมผลผลิตอาจจะเพิ่มขึ้น 5-10% ในปีนี้ ความไม่แน่นอนของผลผลิตในบราซิลและสัดส่วนการผลผลิตน้ำตาลทำให้ราคาตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นไปในวันที่ 20พฤษภาคม ที่ผ่านมา

วันที่ 19 พฤษภาคม 2565 การพูดคุยว่าน้ำค้างแข็งจะมีผลกระทบจำกัดต่ออ้อยและข่าวซึ่งกลายเป็นของปลอมว่า Petrobras ขึ้นราคาน้ำมัน ทำให้เกิดการเทขายของกองทุนในตลาดน้ำตาล Traders กล่าว อย่างไรก็ตาม พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่าจะมีการซื้อกองทุนเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น รายงาน COT ฉบับต่อไปจะแสดงให้เห็นถึงการซื้อจากกองทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ตามที่ผู้สังเกตการณ์ในตลาดอธิบายว่า กองทุนถือว่าน้ำตาลราคาถูกในระดับปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับธัญพืช อย่างไรก็ตาม ราคาที่มากกว่า 20.50 เซนต์/ปอนด์ อาจทำให้เกิดการเทขาย

วันที่ 19 พฤษภาคม 2565 ตามรายงานของหน่วยงานสภาพอากาศหลายแห่ง พบว่า อุณหภูมิในบราซิลยังไม่ต่ำพอที่จะทำให้เกิดน้ำค้างแข็งรุนแรงในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์สำหรับหน้าหนาวอีกครั้ง ในวันที่ 25 พฤษภาคม ซึ่ง Rural Clima กล่าวว่า อาจทำให้อุณหภูมิลดลงมากกว่าหน้าหนาวที่ผ่านมา หัวหน้า Paragon Global ตั้งข้อสังเกตว่าปกติแล้วน้ำค้างแข็งไม่ได้ส่งผลกระทบกับพืชผลในเดือนพฤษภาคม

วันที่ 19 พฤษภาคม 2565 HedgePoint Global Markets ปรับลดประมาณการสัดส่วนการผลิตน้ำตาลในภาคกลาง-ใต้ของบราซิล 2565/2566 ลดลงเหลือ 41.8% โดยลดการคาดการณ์ผลผลิตน้ำตาลลงเหลือ 30.5 ล้านตัน ด้าน Novacana กล่าวว่า การสำรวจของ Conab ระบุถึงผลผลิตอ้อยในภาคกลาง-ใต้ของบราซิล ปี 2565/2566 ที่ 539 ล้านตัน เทียบกับ 554 ล้านตัน ซึ่งเป็นช่วงที่กว้างที่สุดในรอบ 5 ปี ขณะที่ Pecege คาดว่า ATR จะยังคงสอดคล้องกับปีที่แล้ว แต่ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 16,000 เรียลบราซิล/เฮกแตร์ (3,220 เหรียญสหรัฐ/เฮกแตร์) จาก 13,000 เรียลบราซิล/เฮกแตร์ (2,620 เหรียญสหรัฐ/เฮกแตร์) ในฤดูกาลที่แล้ว

วันที่ 19 พฤษภาคม 2565 หัวหน้าของ Paragon Global รายงานว่าเอทานอลจ่ายเงินไม่เพียงพอสำหรับผู้ผลิตในบราซิลที่จะยกเลิกสัญญาส่งออกน้ำตาลในขณะนี้

ขณะที่ Pecege คาดการณ์ การเพิ่มขึ้นของผลผลิตของภาคกลาง-ใต้ของบราซิล 2565/2565 เนื่องจากการลงทุนมากขึ้นในพื้นที่เพาะปลูกอ้อย

วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ผู้สังเกตการณ์ในตลาดกล่าวว่า Traders หลายรายยืนยันว่าโรงงานในบราซิลกำลังเจรจายกเลิกสัญญาส่งออกน้ำตาลเพื่อผลิตเอทานอลแทน และเพื่อชดเชยความล่าช้าในการเก็บเกี่ยว โดยการยกเลิกตั้งเป้าไว้ที่ 200,000-400,000 ตัน จนถึงตอนนี้ คาดว่าจะมีการยกเลิกมากขึ้นเนื่องจากเอทานอลสามารถทำเงินมากเกินพอที่จะชดเชยค่าปรับการยกเลิกสัญญาส่งออกน้ำตาล ด้วยเหตุนี้จึงช่วยผลักดันราคาน้ำตาลตลาดนิวยอร์คให้ปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือน เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ประกอบกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ด้าน Tempocampo กล่าวว่า ความเสี่ยงจากสภาพอากาศและน้ำค้างแข็งก็มีส่วนเช่นกัน แม้ว่าจะยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบของน้ำค้างแข็งก็ตาม

วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 นักอุตุนิยมวิทยาหลายคนคาดการณ์ว่า การพยากรณ์น้ำค้างแข็งในภาคกลาง-ใต้ของบราซิล คาดว่าจะมีผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากอุณหภูมิไม่น่าจะลดลงต่ำเกินไป ด้านสถาบันเกษตรของรัฐเซาเปาโล (IAC-APTA) เตือนว่า รัฐอาจพบน้ำค้างแข็งระหว่างช่วงวันที่ 17-19 พฤษภาคม โดยตั้งข้อสังเกตว่าพื้นที่ที่มีฝนตกเมื่อเร็วๆ นี้จะไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากความชื้นในดินช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดน้ำค้างแข็ง ในขณะเดียวกัน Cepea รายงานว่า แนวโน้มการเกิดน้ำค้างแข็งได้ช่วยหนุนราคาของข้าวโพด

วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 รายงานการตรวจสอบผลผลิตรายสัปดาห์ของ Pecege แสดงให้เห็นว่าผลผลิตอ้อยในภาคกลาง-ใต้ของบราซิล เฉลี่ย ณ วันที่ 8 พฤษภาคม ลดลง 2.6% อยู่ที่ 79.23 ตัน/แฮกแตร์ เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนและต่ำกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเล็กน้อย  ATR ที่ 118.91 กก./ตัน ต่ำกว่า 130 กก./ตัน ของปีที่แล้วมาก แต่เพิ่มขึ้น 2.2% จากสัปดาห์ก่อนหน้า

วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 เรือรอรับน้ำตาลในบราซิลลดลงเหลือ 1.79 ล้านตัน ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 พฤษภาคม จาก 2.25 ล้านตัน ในสัปดาห์ก่อนหน้า ตามข้อมูลของวิลเลียมส์ บราซิล ขณะที่ท่าเรือซานโตสรายงานผลกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 135 ล้านเรียลบราซิล (27 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการ ส่งออกธัญพืช เพิ่มขึ้น 17%

วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 โรงงานน้ำตาลในบราซิลกำลังเจรจาเพื่อยกเลิกสัญญาส่งออกน้ำตาล 300,000 ตัน เพื่อผลิตเอทานอลแทน ด้าน Traders กล่าวว่า การพูดถึงผลผลิตน้ำตาลที่ลดลงจากบราซิลช่วยให้ราคาน้ำตาลในตลาดนิวยอร์คฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะที่ Datagro คาดการณ์ว่าราคาน้ำตาลจะอยู่ที่ประมาณ 18.5-21.0 เซนต์/ปอนด์ ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งกระตุ้นให้มีการนำเข้าของประเทศต่างๆ ชะลอการนำเข้าและบริโภคน้ำตาลในคลังของตนเอง ในขณะเดียวกัน Safras & Mercado คาดว่าราคาจะลดลงเหลือ 18.50 เซนต์/ปอนด์

วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 Archer Consulting ลดการคาดการณ์ผลผลิตอ้อยปี 2565/2566 ในภาคกลาง-ใต้ของบราซิลเหลือ 548 ล้านตัน จาก 552 ล้านตัน ก่อนหน้านี้ โดยผลผลิตน้ำตาลและเอทานอลตั้งเป้าไว้ที่ 31.5 ล้านตัน และ 25.4 พันล้านลิตร ตามลำดับ โดยคิดเป็นสัดส่วนการผลิตเอทานอลไว้ที่ 56.2% ด้าน Citi Brasil ตั้งข้อสังเกตว่า ราคาที่สูงจะกระตุ้นให้โรงงานต่างๆ ลงทุนและลดหนี้ลงได้

ยุโรป
วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 รัสเซียกำหนดข้อจำกัดในการส่งออกน้ำตาลท่ามกลางความต้องการที่เพิ่มขึ้นหลังจากการคว่ำบาตรเนื่องจากการบุกรุกยูเครน แต่ผู้เชี่ยวชาญที่ IKAR ตั้งข้อสังเกตว่า ความต้องการและราคาได้ทรงตัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ด้านโฆษกของ Sucden กล่าวเสริมว่า การเก็บเกี่ยวดำเนินไปได้ด้วยดี และรัสเซียสามารถยกเลิกข้อจำกัดในการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่ม EAEU ได้ ทั้งนี้รัสเซียใช้เวลาหลายปีในการได้ส่วนแบ่งการตลาดในคาซัคสถาน ซึ่งอาจหายไปได้หากยังคงมีข้อจำกัดการส่งออกอยู่

วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ท่าเรือ Novorossiysk ของรัสเซีย คาดว่าจะไม่ได้รับการขนส่งน้ำตาลดิบใหม่เนื่องจากการคว่ำบาตรที่บริษัท Transneft ของรัสเซียที่เผชิญอยู่ตอนนี้ เจ้าของท่าเรือตามการรายงานของ Sugar.ru ซึ่งปัจจุบันน้ำตาลประมาณ 350,000-400,000 ตัน ได้รับการเสนอให้ไปท่าเรือในจอร์เจีย แม้ว่าอาจต้องใช้ความพยายามในการจัดการน้ำตาลปริมาณมากเช่นนี้

วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ตามรายงานของ German Weather Service พบว่า สภาพอากาศในภาคเหนือของเยอรมนีแห้งและร้อนในช่วง 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ความชื้นในดินลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว พืชผลที่หว่านเมื่อเร็วๆ นี้ เช่น บีท จะเริ่มได้รับผลกระทบ เว้นแต่ว่าฝนจะตกในไม่ช้านี้ ขณะที่ในฝรั่งเศสมีสถานการณ์คล้ายกัน ซึ่งบางพื้นที่มีภาวะขาดน้ำถึง 30% ด้าน ITB กล่าวว่า พืชผลจะเริ่มเสื่อมโทรมหากฝนไม่ตกในช่วงที่เหลือของเดือน

เอเชีย
วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 สมาคมผู้ค้าน้ำตาลบอมเบย์ รายงานว่า อุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยของอินเดียสนับสนุนราคาขายส่งในนิวเดลี แม้ว่าราคาจะอยู่ภายใต้แรงกดดันอื่นๆ เนื่องจากโรงงานต่างๆ กำลังมองหาการใช้โควตาการขายน้ำตาล 2.25 ล้านตัน ในเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้การประชุมของรัฐบาลอินเดียที่จัดประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินที่โรงงานน้ำตาลสหกรณ์จำนวน 173 แห่ง ของประเทศกำลังเผชิญอยู่นั้นยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะจัดประชุมอีกครั้งเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ เช่น การปรับโครงสร้างเงินกู้และการกระจายการลงทุนไปสู่การผลิต

วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ประมาณการผลผลิตอ้อยของอินเดียครั้งที่ 3 สำหรับการเพาะปลูกในปี 2564/2565 โดยกระทรวงเกษตร ตั้งเป้าไว้ที่ 430.50 ล้านตัน ซึ่งเป็นสถิติใหม่ และมากกว่าค่าเฉลี่ย 57.04 ล้านตัน ในขณะเดียวกันกระทรวงอาหารระบุว่าการส่งออกน้ำตาลในปี 2564/2565 นั้นสูงกว่าในปี 2560/2561 ถึง 15 เท่า โดยได้มีการลงนามในสัญญาส่งออกไปแล้วจำนวน 9 ล้านตัน ทั้งนี้กระทรวงกล่าวว่ารัฐบาลอินเดียใช้เงิน 145 พันล้านรูปี (2 พันล้านดอลลาร์) เพื่อส่งเสริมการส่งออกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 รัฐมหาราษฏระของอินเดียยังคงมีอ้อยที่ต้องเข้าหีบอยู่ 1.75 ล้านตัน และโรงงานประมาณ 30 โรง ยังคงเปิดดำเนินการเพื่อหีบอ้อยทั้งหมด โดยพื้นที่ปลูกอ้อยในปี 2564/2565 แตะ 1.142 ล้านเฮกแตร์ เพิ่มขึ้น 225,000 เฮกแตร์ จากปีก่อนหน้า และน่าจะคงที่ในปีหน้า  อย่างไรก็ตามรัฐคาดว่าจะเริ่มฤดูกาลให้เร็วกว่านี้ และจะมีโรงงานผลิตเอทานอลเพิ่มเติมที่สามารถเปลี่ยนเส้นทางการผลิตน้ำตาลได้ เจ้าหน้าที่กล่าวเสริม ส่วนในเขต Shamli ของรัฐอุตรประเทศ ในขณะเดียวกันได้มีการสำรวจพื้นที่อ้อยเพียง 19,984 เฮกแตร์ จากทั้งหมด 66,000 เฮกแตร์

วันที่ 19 พฤษภาคม 2565 ตามรายงานของสมาคมโรงงานน้ำตาลของอินเดีย ISMA พบว่า จนถึงขณะนี้โรงงานน้ำตาลในอินเดียลงนามในสัญญาส่งออกน้ำตาล 8.5 ล้านตัน โดยส่งออกไปแล้ว 7.1 ล้านตัน สมาคมกล่าวว่าการส่งออกทั้งหมดในปีนี้อาจเกิน 9 ล้านตัน ขณะที่โรงงาน 116 แห่ง ยังคงเปิดดำเนินการอยู่ ณ วันที่ 15 พฤษภาคม เพิ่มขึ้นจาก 45 แห่ง ในเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แม้ว่าโรงงานส่วนใหญ่จะปิดหีบในเดือนนี้

วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 รัฐมหาราษฏระของอินเดียประกาศเงินช่วยเหลือ 200 รูปี/ตัน (2.58 เหรียญสหรัฐ/ตัน) สำหรับการหีบอ้อยหลังจากวันที่ 1 พฤษภาคม นอกเหนือจากเงินอุดหนุนการขนส่ง 5 รูปี/กม. (0.07 เหรียญสหรัฐ/กม.) ที่ประกาศเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าอ้อยที่เหลืออยู่ในรัฐจะได้เข้าหีบ ด้านเจ้าหน้าที่ประเมินว่าอ้อยยังเหลือรอเข้าหีบอีกประมาณ 2 ล้านตัน ในขณะที่หัวหน้าเกษตรกรกล่าวว่า ปริมาณนั้นใกล้จะถึง 4 ล้านตัน แล้ว และเสริมว่าโรงงานจะหีบอ้อยให้เต็มปริมาณได้ยาก

วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ฝ่ายนิติบัญญัติเรียกร้องให้รัฐบาลอินโดนีเซียติดตามน้ำตาลคงคลังของประเทศอย่างใกล้ชิด และเพื่อให้มั่นใจว่าราคายังคงทรงตัวในช่วงฤดูที่กำลังดำเนินอยู่ การจำกัดการนำเข้าและการรักษาราคาไว้จะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมพัฒนาและทำให้อินโดนีเซียสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ขณะเดียวกันราคาน้ำตาลทรายเกรดพรีเมียมพุ่งขึ้นเป็น 14,050 รูเปียห์อินโดนีเซีย/กก. (0.96 ดอลลาร์สหรัฐ/กก.) ในเขตชวากลางเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม เพิ่มขึ้น 4.07% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ตามข้อมูลของศูนย์ข้อมูลราคาอาหารยุทธศาสตร์แห่งชาติอินโดนีเซีย

วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ราคาน้ำตาลในอินโดนีเซียทรงตัวเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ที่ 10,700 รูเปียห์อินโดนีเซีย/กก. (0.7 ดอลลาร์สหรัฐ/กก.) ตามข้อมูลของรัฐบาล All-Indonesian Market Traders Association (APPSI) ระบุว่า ราคาสินค้าพื้นฐานส่วนใหญ่ไม่ได้ลดลงเมื่อสิ้นสุดเดือนรอมฎอน ขณะเดียวกันอินโดนีเซียไม่ได้นำเข้าน้ำตาลใดๆ ในเดือนเมษายน หลังจากนำเข้าน้ำตาลมูลค่า 48.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนก่อนหน้า ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติกลางของอินโดนีเซีย (BPS)

วันที่ 19 พฤษภาคม 2565 ข้อมูลศุลกากรจีน พบว่า ในเดือนเมษายน จีนนำเข้าน้ำตาล 420,000 ตัน เพิ่มขึ้น 133% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และนำเข้าช่วงเดือนมกราคม – เมษายน เป็น 1.36 ล้านตัน ลดลง 5% การนำเข้าข้าวโพดในเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 19% ที่ 2.21 ล้านตัน ส่งผลให้การนำเข้าข้าวโพดในเดือนมกราคม – เมษายน อยู่ที่ 9.31 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 มณฑลกวางสีกำลังส่งออกน้ำตาล 2,600 ตัน ผ่านทางรถไฟจีน-ยุโรปไปยังอัลมาตีในคาซัคสถาน ซึ่งเป็นการส่งออกน้ำตาลโดยการขนส่งในลักษณะนี้เป็นครั้งแรก โดย Guangxi COSCO Shipping Logistics คาดการณ์ว่า น้ำตาลจะถูกส่งออกด้วยวิธีนี้มากขึ้น ซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการขนส่งได้มากกว่าหนึ่งสัปดาห์

วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 สมาคมโรงงานน้ำตาลแห่งปากีสถาน ขอให้รัฐบาลช่วยส่งออกน้ำตาล 1.5 ล้านตัน เพื่อลดน้ำตาลส่วนเกิน 2 ล้านตัน ที่กำลังประสบปัญหา ทั้งนี้โรงงานได้ปฏิเสธที่จะลดราคาน้ำตาลเป็น 70 รูปีปากีสถาน/กก. (0.36 เหรียญสหรัฐ/กก.) ตามที่รัฐบาลร้องขอ

ขณะเดียวกันรัฐบาลปากีสถานกำลังดำเนินการควบคุมการลักลอบนำเข้าน้ำตาล รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ

โอเชียเนีย
วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 ในปี 2565 ออสเตรเลียคาดว่าจะผลิตน้ำตาลได้ 4.3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 4 ล้านตัน ในปี 2564 ตามข้อมูลของ We Know Sugar อย่างไรก็ตามโรงงานในรัฐควีนส์แลนด์ตอนใต้และตอนเหนือของรัฐนิวเซาท์เวลส์มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของน้ำท่วมต่อพืชผล ด้านสำนักอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงจากอุทกภัยในรัฐควีนส์แลนด์

สถานะกลุ่มกองทุนและนักเก็งกำไร
สำหรับสถานะของกลุ่มกองทุนและนักเก็งกำไรต่าง ๆ ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ปรากฏว่าได้ถือตั๋วซื้อน้ำตาลสุทธิ (Net Long) จำนวน 129,187 ล็อต หรือประมาณ 6.53 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 36,950 ล็อต ประมาณ 1.88 ล้านตัน หรือ 40.06% เมื่อเทียบกับที่ถือตั๋วซื้อน้ำตาลสุทธิ (Net Long) 92,237 ล็อต หรือประมาณ 4.69 ล้านตัน ในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น (10 พฤษภาคม 2565) และเทียบกับที่ถือตั๋วซื้อน้ำตาลสุทธิ (Net Long) มากสุดเป็นประวัติการณ์ 348,218 ล็อต หรือประมาณ 17.69 ล้านตัน (27 กันยายน 2559)

วิจารณ์และความเห็น
ปัจจัยเรื่องสภาพอากาศที่อุณหภูมิลดลงต่ำเร็วกว่าปกติในช่วงนี้ในพื้นที่ภาคกลาง-ใต้ของบราซิล ทำให้เกิดความกังวลเรื่องน้ำค้างแข็งและจะทำให้พื้นที่ปลูกอ้อยเสียหาย ซึ่งจะส่งผลต่อราคาน้ำตาลตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเรื่องอุณหภูมิที่ลดลงยังคงต้องจับตาดูถึงผลกระทบที่อาจจะไม่ได้รุนแรงตามที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้เชื่อว่าตลาดคงจะเคลื่อนไหวในช่วงแคบๆไปก่อน เพื่อรอดูผลกระทบที่ชัดเจนมากขึ้นจากเหตุการณ์น้ำค้างแข็ง และประกาศผลผลิตอ้อย น้ำตาล และเอทานอล จาก UNICA

 

ที่มา: http://www.ocsb.go.th/th/cms/detail.php?ID=13726&SystemModuleKey=international

Message us